ถั่วบราซิลนัท มีประโยชน์อย่างไร ข้อมูลโภชนาควรรู้ก่อนรับประทาน

บทนำ

Brazil Nuts หรือที่รู้จักกันในชื่อไทย “ถั่วบราซิลนัท” เป็นหนึ่งในถั่วที่คนไทยเรายังไม่คุ้นเคย แต่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงและมีประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างมากมาย ถั่วชนิดนี้มีต้นกำเนิดจากป่าฝนอเมซอนในทวีปอเมริกาใต้ และได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายทั่วโลก ด้วยรสชาติที่หอมมันและเนื้อสัมผัสที่กรุบกรอบ ทำให้ถั่วบราซิลนัทกลายเป็นที่โปรดปรานของคนรักสุขภาพหลายคน ในบทความนี้ เราจะพาคุณไปเจาะลึกกับคุณประโยชน์ต่าง ๆ ของถั่วบราซิลนัท รวมถึงข้อมูลโภชนาการที่ควรรู้ก่อนที่จะนำมารับประทาน เพื่อให้คุณได้รับประโยชน์จากถั่วชนิดนี้อย่างเต็มที่ มาดูข้อมูลของถั่วบราซิลนัทไปพร้อมกันเริ่ม!

สารบัญ

  • ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับถั่วบราซิลนัท
  • ประโยชน์ของการรับประทานถั่วบราซิลนัท
  • อาหารที่พบถั่วบราซิลนัทและการนำไปปรุงอาหาร
  • เรื่องที่ต้องระวังหากจะรับประทานถั่วบราซิลนัท
  • FAQ 5 คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการกินถั่วบราซิลนัท

ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับถั่วบราซิลนัท 

ถั่วบราซิลนัท (Brazil Nut) เป็นเมล็ดที่มาจากต้นไม้ใหญ่ในป่าฝนอเมซอน ชื่อวิทยาศาสตร์คือ Bertholletia Excelsa ต้นไม้เหล่านี้สามารถสูงได้ถึง 49 เมตรและมีเส้นผ่านศูนย์กลางของลำต้นประมาณ 2 เมตร ผลของต้นถั่วบราซิลมีลักษณะเป็นฝักแข็งคล้ายกับมะพร้าว ภายในฝักมีเมล็ดหรือถั่วบราซิลนัทเรียงตัวกันคล้ายกับส้ม เมล็ดเหล่านี้มีเปลือกแข็งและมีเนื้อในที่สามารถรับประทานได้ ถั่วบราซิลนัทเป็นเมล็ดที่มีลักษณะเฉพาะตัว มีรูปร่างคล้ายเสี้ยวพระจันทร์ ขนาดใหญ่กว่าถั่วทั่วไป มีเปลือกแข็งหุ้มเนื้อในสีขาวนวล เนื้อสัมผัสเนียนนุ่ม รสชาติหอมมัน ถั่วชนิดนี้มีน้ำมันสูงจึงให้พลังงานมาก แต่เป็นไขมันที่ดีต่อสุขภาพ นอกจากนี้ยังอุดมไปด้วยแร่ธาตุและวิตามินที่สำคัญหลายชนิด

แหล่งปลูกถั่วบราซิลนัท 

ถั่วบราซิลนัทมีถิ่นกำเนิดในป่าฝนอเมซอนของประเทศบราซิล, โบลิเวีย และเปรู ต้นถั่วบราซิลนัทเติบโตได้ดีในสภาพแวดล้อมที่ไม่ถูกทำลายและต้องการผึ้งพื้นเมืองขนาดใหญ่สำหรับการผสมเกสร. การเก็บเกี่ยวถั่วบราซิลนัทมักจะทำในป่าธรรมชาติ โดยชุมชนท้องถิ่นที่พึ่งพาการเก็บเกี่ยวและขายถั่วบราซิลนัทเป็นแหล่งรายได้ที่สำคัญ

การปลูกถั่วบราซิลนัทในประเทศไทย 

ในประเทศไทย ถั่วบราซิลนัทยังไม่เป็นที่นิยมในการปลูกเพื่อการค้า เนื่องจากต้นถั่วบราซิลนัทต้องการสภาพแวดล้อมเฉพาะในการเติบโต ซึ่งรวมถึงความต้องการผึ้งพื้นเมืองสำหรับการผสมเกสรและสภาพป่าที่ไม่ถูกทำลาย อย่างไรก็ตาม มีการนำเข้าถั่วบราซิลนัทมาเพื่อการบริโภคและใช้ในอุตสาหกรรมอาหาร

ข้อมูลโภชนาการของถั่วบราซิลนัท ต่อ 100 กรัม 

  • พลังงาน : 656-659 แคลอรี่
  • โปรตีน : 14.32-14.4 กรัม
  • ไขมันทั้งหมด : 67.1-68.5 กรัม
  • ไขมันอิ่มตัว : 14.8 กรัม
  • ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว : 21.8 กรัม
  • ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน : 29 กรัม
  • คาร์โบไฮเดรตทั้งหมด : 11.74 กรัม
  • ใยอาหาร : 8.5 กรัม
  • น้ำตาล : 2.1 กรัม
  • แร่ธาตุ
  • แคลเซียม : 150 มิลลิกรัม
  • เหล็ก : 2.2 มิลลิกรัม
  • แมกนีเซียม : 350 มิลลิกรัม
  • ฟอสฟอรัส : 206 มิลลิกรัม
  • โพแทสเซียม : 560 มิลลิกรัม
  • โซเดียม : 2 มิลลิกรัม
  • สังกะสี : 4.1 มิลลิกรัม
  • ซีลีเนียม : 1917 ไมโครกรัม
  • วิตามิน
  • วิตามินอี : 5.3 มิลลิกรัม
  • วิตามินบี1 (ไทอามีน) : 0.6 มิลลิกรัม
  • วิตามินบี2 (ไรโบฟลาวิน) : 0.4 มิลลิกรัม
  • วิตามินบี6 : 0.3 มิลลิกรัม
  • โฟเลต : 22 ไมโครกรัม

ประโยชน์ของการรับประทานถั่วบราซิลนัท 

ถั่วบราซิลนัทเป็นอาหารที่อุดมไปด้วยคุณประโยชน์มากมาย การรับประทานเป็นประจำสามารถส่งผลดีต่อสุขภาพในหลายด้าน เมื่อรับประทานแล้วให้พลังงานสูง อิ่มท้อง สำหรับคนที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก ก็สามารถใช้รับประทานเป็นทางเลือกทำให้ควบคุมน้ำหนักได้ดีขึ้น ในหัวข้อนี้จะพาทุกคนไปดูว่า ประโยชน์ของการรับประทานถั่วบราซิลนัท จะมีอะไรบ้าง

เป็นแหล่งซีลีเนียมที่ดีเยี่ยม

ถั่วบราซิลนัทถือเป็นแหล่งซีลีเนียมที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดในโลก เพียงเมล็ดเดียวก็มีซีลีเนียมถึง 68-91 ไมโครกรัม ซึ่งเพียงพอต่อความต้องการต่อวัน ซีลีเนียมเป็นแร่ธาตุที่มีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ต้านอนุมูลอิสระ และสนับสนุนการทำงานของต่อมไทรอยด์ ช่วยให้ร่างกายทำงานได้อย่างสมดุลและมีประสิทธิภาพ

ส่งเสริมสุขภาพหัวใจ

ถั่วบราซิลนัทมีไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวและเชิงซ้อนที่ดีต่อสุขภาพ ซึ่งช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือดและลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ การรับประทานถั่วบราซิลนัทเป็นประจำสามารถช่วยให้หัวใจแข็งแรงและลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด

บำรุงสมอง

สารต้านอนุมูลอิสระและซีลีเนียมในถั่วบราซิลนัทมีบทบาทสำคัญในการป้องกันความเสื่อมของสมองและปรับปรุงการทำงานของสมอง ช่วยให้ความจำดีขึ้นและลดความเสี่ยงของโรคอัลไซเมอร์

ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด

ถั่วบราซิลนัทช่วยเพิ่มความไวต่ออินซูลินและลดระดับอินซูลินในเลือด ซึ่งเป็นประโยชน์สำหรับผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 การรับประทานถั่วบราซิลนัทสามารถช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่

ต้านการอักเสบ

ถั่วบราซิลนัทอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยลดการอักเสบในร่างกาย การรับประทานถั่วบราซิลนัทเป็นประจำสามารถช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคเรื้อรังต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบ

เสริมสร้างกระดูก

ถั่วบราซิลนัทมีแคลเซียมและแมกนีเซียมที่จำเป็นต่อสุขภาพกระดูก การรับประทานถั่วบราซิลนัทช่วยเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรงและลดความเสี่ยงของโรคกระดูกพรุน

สนับสนุนการทำงานของต่อมไทรอยด์

ซีลีเนียมในถั่วบราซิลนัทเป็นแร่ธาตุสำคัญในการสร้างฮอร์โมนไทรอยด์ ซึ่งมีบทบาทในการควบคุมการเผาผลาญและการทำงานของระบบต่าง ๆ ในร่างกาย

ให้พลังงานและโปรตีน

ถั่วบราซิลนัทเป็นแหล่งพลังงานและโปรตีนที่ดี เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเพิ่มน้ำหนักหรือนักกีฬาที่ต้องการเสริมสร้างกล้ามเนื้อ การรับประทานถั่วบราซิลนัทช่วยให้ร่างกายได้รับพลังงานและสารอาหารที่จำเป็นในแต่ละวัน

อาหารที่พบถั่วบราซิลนัทและการนำไปปรุงอาหาร

ถั่วบราซิลนัทเป็นวัตถุดิบที่สามารถนำมาใช้ในอาหารหลากหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นของหวานหรือของคาว ด้วยรสชาติที่หอมมันและเนื้อสัมผัสที่กรุบกรอบ ทำให้ถั่วชนิดนี้กลายเป็นส่วนประกอบที่เพิ่มความอร่อยและคุณค่าทางโภชนาการให้กับเมนูต่าง ๆ ถั่วบราซิลนัทไม่เพียงแต่เพิ่มรสชาติและเนื้อสัมผัสให้กับอาหาร แต่ยังเสริมสร้างคุณค่าทางโภชนาการให้กับเมนูต่าง ๆ ด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ การนำถั่วบราซิลนัทมาใช้ในอาหารจึงเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่รักสุขภาพและต้องการเพิ่มความหลากหลายให้กับเมนูอาหารในแต่ละวัน

ขนมและของหวาน

  • ในวงการขนมหวาน ถั่วบราซิลนัทมักถูกนำมาใช้เป็นส่วนผสมในบราวนี่ คุกกี้ และเค้ก โดยการบดหรือหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ แล้วผสมลงในแป้งหรือโรยหน้าเพื่อเพิ่มความกรุบกรอบและรสชาติที่เข้มข้น นอกจากนี้ ยังสามารถนำถั่วบราซิลนัทมาทำเป็นเนยถั่วบราซิลนัท (Brazil Nut Butter) ซึ่งมีรสชาติหอมมันและสามารถใช้ทาขนมปังหรือผสมในสมูทตี้ได้

อาหารคาว

  • ถั่วบราซิลนัทสามารถนำมาใช้ในอาหารคาวได้เช่นกัน เช่น การใส่ในสลัดเพื่อเพิ่มความกรุบกรอบและสารอาหาร หรือการใช้เป็นส่วนผสมในซอสเพสโต (Pesto) โดยการบดถั่วบราซิลนัทแทนถั่วพิสตาชิโอ นอกจากนี้ ยังสามารถนำถั่วบราซิลนัทมาบดแล้วผสมกับเครื่องเทศเพื่อทำเป็นครัสต์สำหรับเนื้อสัตว์ เช่น ไก่หรือปลา เพื่อเพิ่มรสชาติและเนื้อสัมผัสที่น่าสนใจ

การปรุงอาหาร

  • การนำถั่วบราซิลนัทไปปรุงอาหารสามารถทำได้หลากหลายวิธี เช่น การคั่วในกระทะหรืออบในเตาอบเพื่อเพิ่มความกรอบและรสชาติ การบดเป็นผงเพื่อใช้เป็นส่วนผสมในซอสหรือเครื่องปรุงรส หรือการหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ เพื่อใส่ในอาหารต่าง ๆ การปรุงถั่วบราซิลนัทให้เหมาะสมจะช่วยให้ได้รับประโยชน์ทางโภชนาการอย่างเต็มที่

เรื่องที่ต้องระวังหากจะรับประทานถั่วบราซิลนัท 

การรับประทานถั่วบราซิลนัทในปริมาณที่เหมาะสมสามารถให้ประโยชน์ต่อสุขภาพได้อย่างมากมาย แต่การระมัดระวังในการรับประทานและการเก็บรักษาถั่วชนิดนี้จะช่วยให้ได้รับประโยชน์สูงสุดโดยไม่เกิดผลเสียต่อสุขภาพ เรามาดูกันว่าหากต้องการรับประทานถั่วบราซิลนัท จะมีเรื่องที่ต้องระวังอย่างไรบ้าง

การบริโภคซีลีเนียมมากเกินไป

ถั่วบราซิลนัทมีซีลีเนียมในปริมาณสูงมาก ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกาย แต่การบริโภคซีลีเนียมมากเกินไปอาจทำให้เกิดพิษซีลีเนียม (Selenosis) ซึ่งมีอาการเช่น ผมร่วง เล็บเปราะ คลื่นไส้ อาเจียน และในกรณีรุนแรงอาจทำให้เกิดปัญหาทางระบบประสาทได้

ปริมาณที่แนะนำ 

ควรจำกัดการบริโภคถั่วบราซิลนัทไม่เกิน 1-3 เม็ดต่อวัน เพื่อหลีกเลี่ยงการได้รับซีลีเนียมมากเกินไป

การแพ้ถั่ว

บางคนอาจมีอาการแพ้ถั่วบราซิลนัท ซึ่งสามารถทำให้เกิดอาการแพ้ที่รุนแรงได้ เช่น ผื่นแดงคัน ริมฝีปากบวม หายใจลำบาก หรืออาจถึงขั้นช็อก (Anaphylaxis) ได้

การป้องกัน 

ผู้ที่มีประวัติการแพ้ถั่วควรหลีกเลี่ยงการบริโภคถั่วบราซิลนัทและอาหารที่มีส่วนประกอบของถั่วนี้ และควรพกยาแก้แพ้ติดตัวเสมอ

แคลอรี่สูง

ถั่วบราซิลนัทมีแคลอรี่สูงมาก (ประมาณ 656-659 แคลอรี่ต่อ 100 กรัม) ดังนั้นการบริโภคในปริมาณมากอาจทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นได้

การบริโภคในปริมาณที่เหมาะสม 

ควรบริโภคในปริมาณที่เหมาะสมและรวมถึงในแผนการบริโภคอาหารที่สมดุล.

การเก็บรักษาและการปนเปื้อน

ถั่วบราซิลนัทมีไขมันสูง ซึ่งอาจทำให้เกิดการหืนได้ง่าย ควรเก็บในภาชนะที่ปิดสนิทและเก็บในที่เย็นและแห้ง เพื่อรักษาคุณภาพและรสชาติ ถั่วบราซิลนัทบางครั้งอาจมีสารอะฟลาทอกซิน (Aflatoxin) ซึ่งเป็นสารพิษที่ผลิตโดยเชื้อรา การบริโภคสารนี้ในปริมาณมากอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งตับ ควรเลือกซื้อถั่วบราซิลนัทจากแหล่งที่เชื่อถือได้และตรวจสอบให้แน่ใจว่าไม่มีร่องรอยของเชื้อรา

FAQ 5 คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการกินถั่วบราซิลนัท 

เราควรกินถั่วบราซิลนัทวันละกี่เม็ด หรือปริมาณที่แนะนำกี่กรัม?

การบริโภคถั่วบราซิลนัทควรจำกัดอยู่ที่ประมาณ 1-3 เม็ดต่อวัน หรือประมาณ 5-10 กรัม เพื่อป้องกันการได้รับซีลีเนียมมากเกินไป ซึ่งอาจทำให้เกิดพิษซีลีเนียม (Selenosis) ที่มีอาการเช่น ผมร่วง เล็บเปราะ และอาการทางระบบทางเดินอาหาร

การรับประทานถั่วบราซิลนัทช่วยบำรุงผิวได้อย่างไร?

ถั่วบราซิลนัทมีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น ซีลีเนียม และวิตามินอี ซึ่งช่วยปกป้องเซลล์ผิวจากความเสียหายที่เกิดจากอนุมูลอิสระ นอกจากนี้ยังช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวนุ่มนวลและลดเลือนริ้วรอย

ให้ช่วยแนะนำวิธีเลือกซื้อถั่วบราซิลนัทคุณภาพดี

การเลือกซื้อถั่วบราซิลนัทคุณภาพดีควรเลือกที่มีเปลือกแข็ง ไม่มีรอยแตกหรือรอยชื้น เมล็ดควรมีสีขาวนวล ไม่มีกลิ่นหืน หากเป็นถั่วที่ผ่านการแปรรูปแล้ว ควรเลือกที่บรรจุในภาชนะที่ปิดสนิทและมีวันหมดอายุที่ชัดเจน

  • ควรซื้อจากร้านค้าที่มีชื่อเสียงและมีการรับรองคุณภาพ
  • บรรจุภัณฑ์ควรปิดสนิท ไม่มีร่องรอยการเปิดหรือการเสื่อมสภาพ
  • ถั่วบราซิลนัทควรมีสีสม่ำเสมอ ไม่มีร่องรอยของเชื้อรา หรือกลิ่นหืน
  • ถั่วบราซิลนัทดิบหรืออบจะมีคุณภาพดีกว่าถั่วที่ผ่านการปรุงรสหรือเคลือบน้ำตาล

การรับประทานถั่วบราซิลนัทสามารถช่วยการป้องกันโรคมะเร็งได้หรือไม่อย่างไร?

ถั่วบราซิลนัทมีซีลีเนียมที่มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหายที่เกิดจากอนุมูลอิสระที่อาจนำไปสู่การเกิดมะเร็ง นอกจากนี้ยังมีการศึกษาบางส่วนที่แสดงว่าซีลีเนียมอาจช่วยลดความเสี่ยงของมะเร็งบางชนิด เช่น มะเร็งต่อมลูกหมากและมะเร็งปอด อย่างไรก็ตาม ควรบริโภคในปริมาณที่เหมาะสมเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากการได้รับซีลีเนียมมากเกินไป

การรับประทานถั่วบราซิลนัทสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน มีข้อควรระวังหรือไม่?

ถั่วบราซิลนัทมีไขมันและแคลอรี่สูง ดังนั้นผู้ป่วยเบาหวานควรบริโภคในปริมาณที่เหมาะสมเพื่อหลีกเลี่ยงการเพิ่มน้ำหนัก นอกจากนี้ถั่วบราซิลนัทยังมีคาร์โบไฮเดรตต่ำและมีใยอาหารสูง ซึ่งสามารถช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ อย่างไรก็ตาม ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการก่อนเพิ่มถั่วบราซิลนัทในแผนการบริโภคอาหาร

บทสรุป

ถั่วบราซิลนัทมีไขมันและแคลอรี่สูง ดังนั้นผู้ป่วยเบาหวานควรบริโภคในปริมาณที่เหมาะสมเพื่อหลีกเลี่ยงการเพิ่มน้ำหนัก นอกจากนี้ถั่วบราซิลนัทยังมีคาร์โบไฮเดรตต่ำและมีใยอาหารสูง ซึ่งสามารถช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ อย่างไรก็ตาม ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการก่อนเพิ่มถั่วบราซิลนัทในแผนการบริโภคอาหาร